เทศน์บนศาลา

เกิดกับพ่อ กับแม่

๘ ต.ค. ๒๕๕๓

 

เกิดกับพ่อ กับแม่
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา เทศน์วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจนะ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ประเสริฐ เวลาเราดูสัตว์เดรัจฉาน เห็นไหม สัตว์เดรัจฉาน ถ้าสัตว์นิสัยมันดีนะ มันยังน่ารักน่าชัง เราเป็นมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ เห็นไหม เราประเสริฐแล้ว เราจะมีคุณค่าแค่ไหน

เวลาเราเกิดมา เรามีพ่อมีแม่นะ เกิดกับพ่อกับแม่ พ่อแม่เป็นแดนเกิด ถ้าพ่อแม่เป็นแดนเกิด เห็นไหม เรามีพ่อมีแม่เลี้ยงดูเรามา เวลาเราเป็นเด็กเป็นเล็ก พ่อแม่เลี้ยงดูเรามา เราก็มีความสุขพอสมควร เวลาเราโตขึ้นมา เราก็จะเป็นพ่อคนแม่คนนะ แต่ถ้าเราออกบวช เห็นไหม เราเสียสละอย่างนั้นมาตลอด แต่เราก็มีพ่อมีแม่นะ

ถ้ามีพ่อมีแม่ สิ่งนี้มันทำให้ชีวิตเรามันมีความมั่นคงมา แต่ต่อไปความมั่นคงในชีวิต มันจะมีความมั่นคงมากน้อยขนาดไหน มันอยู่ที่หัวใจของเราไง ถ้าหัวใจของเรา เป็นคนกตัญญู เป็นคนรู้คุณคน ความกตัญญูความรู้คุณ เห็นไหม เป็นเครื่องหมายของคนดี

ถ้าคนดี สิ่งที่เป็นคนดี คนดีนะมันดีที่ในหัวใจของเรา ไม่ใช่ดีจากภายนอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม ตรัสรู้เองโดยชอบ โดยไม่มีใครบอกใครกล่าว สิ่งนี้เป็นความลึกลับมหัศจรรย์นะ

เรามีพ่อมีแม่เลี้ยงดูเรามา เห็นไหม แต่ถ้าเรามาประพฤติปฏิบัติธรรม ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา ความเป็นพ่อเป็นแม่ของเรา สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นมา เห็นไหม ศีลธรรมเป็นพ่อเป็นแม่ของเรา ถ้าไม่เป็นพ่อเป็นแม่ของเรานะ เราจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร

ดูสิ เราเกิด เรามีพ่อมีแม่เลี้ยงดูเรามา ชีวิตเรามั่นคง คนเกิดมา เห็นไหม ถ้าพ่อแม่เสีย หรือเป็นเด็กกำพร้า ชีวิตนี้มันขาดนะ ชีวิตนี้มันแล้วแต่เราจะดิ้นรนไป ไม่มีคนชี้นำ ไม่มีคนบอกคนกล่าวเรา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีพ่อมีแม่ เราจะกตัญญูกับพ่อแม่เราไหม ถ้าเรากตัญญูกับพ่อแม่ของเรา เห็นไหม ชีวิตเรามีคุณค่ามากนะ เวลาเวียนตายเวียนเกิดในผลของวัฏฏะ เวลาไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เขามีพ่อแม่ไหม เป็นโอปปาติกะ เกิดแล้วโตทันที ถ้าโอปปาติกะ เกิดแล้วโตทันที แล้วพ่อแม่เขาอยู่ที่ไหนล่ะ พ่อแม่ของเขาอยู่ที่เวรที่กรรม

กรรมมันทำให้พาเกิด กรรมดีกรรมชั่ว กรรมดีพาเกิด เห็นไหม สิ่งที่พาเกิด เกิดเป็นโอปปาติกะ เขามีพ่อมีแม่ที่ไหน แต่เวลาเขามีใจเป็นกุศล เขามีความระลึกถึงชีวิตของเขา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นแล้ว เทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์ แล้วสำเร็จเป็นแสนๆ เป็นล้านๆ นะ

สิ่งที่สำเร็จ เพราะอะไร เพราะมีหลักมีเกณฑ์ มีหลักมีเกณฑ์เพราะสำนึกในตัวเขาเอง เขามีบุญกุศล คำว่าบุญกุศล เห็นไหม เกิดโดยกรรม เราก็เกิดโดยกรรม แต่เกิดโดยกรรมเพราะจิตปฏิสนธิจิตนั้นมีกรรม มันถึงมาเกิด เกิดในสายบุญสายกรรม เกิดจากพ่อจากแม่

เกิดเป็นมนุษย์มีเนื้อหนังมังสา มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มีทั้งจิตใจด้วย มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ด้วย เทวดา อินทร์ พรหม ของเขามีแต่นามธรรม มีแต่รูปที่เป็นทิพย์ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ผู้ปฏิบัติที่มีสายตา เขามองเห็นของเขาได้ แต่โดยมิติ โดยความเป็นไปของโลก เรามองเห็นไม่ได้ สายตาของมนุษย์เห็นได้แต่วัตถุ เห็นได้แต่สิ่งที่มีแสง ที่เรารับรู้ได้ แต่ตาของใจเรายังไม่เกิด มันเลยเป็นลูกกำพร้าไง

คำว่าลูกกำพร้า เห็นไหม มันมองได้แค่มิตินี้ มันมองได้แต่ความรู้สึก กับความเป็นไปของโลก มันมองไม่เห็น มันเข้าใจเรื่องของธรรมไม่ได้ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกอดีตชาติ สิ่งต่างๆ ที่เป็นผลของวัฏฏะ

วัฏฏะมันเป็นที่เกิดที่ตายของจิต จิตมันเวียนตายเวียนเกิดของมัน เป็นธรรมชาติของมันนะ ถ้าจิตเวียนตายเวียนเกิดตามธรรมชาติของมัน แล้วธรรมชาตินี้มาจากไหน ธรรมชาตินี้มาจากการกระทำ มาจากกรรม เห็นไหม กรรมเป็นแดนเกิด กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ แต่เวลาเราโดนกิเลสครอบงำ เห็นไหม

กิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ วิปากวัฏฏ์ สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา เกิดมาโดยกรรม มีการกระทำขึ้นมา เห็นไหม เกิดกิเลส กิเลสทำกรรม แล้วผลของมันล่ะ ผลของมันทำให้จิตใจมันมีการกระทำ มีกรรมของมัน แล้วขับเคลื่อนไปเป็นผลของวัฏฏะ

ทีนี้มาเกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม คำว่าเกิดเป็นมนุษย์ มันก็เป็นผลของวัฏฏะเหมือนกัน แต่เกิดเป็นมนุษย์แล้ว ได้พบพระพุทธศาสนา เห็นไหม เราเกิดเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนา เราถึงได้มาประพฤติปฏิบัติธรรมกัน

ถ้าเราประพฤติปฏิบัติธรรมกัน เห็นไหม แดนเกิดของธรรมล่ะ ถ้าแดนเกิดของธรรม ธรรมมันเกิดที่ไหน แล้วธรรมมันเกิด มันเกิดที่ใจ ถ้าธรรมมันเกิดที่ใจ แล้วใจมันอยู่ที่ไหนล่ะ ถ้าใจอยู่ที่ไหน แล้วถ้าเราเข้าใจเรื่องหัวใจ เราเข้าใจเรื่องการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม สิ่งต่างๆ สิ่งภายนอก มันจะมีค่าน้อยลงๆ ทันทีเลย

แต่ถ้าเราไม่รู้จักตัวตนของเรา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันก็จะเอาแต่ความสุข เอาแต่ความสบาย สิ่งใดก็สะดวกสบาย เห็นไหม แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ นักบวชให้มีบริขาร ๘ พระเรามีสมบัติได้แค่บริขาร ๘ เห็นไหม มีไตรจีวร มีธมกรก มีบาตร มีกล่องเย็บผ้า มีเข็มเย็บผ้า มีกล่องด้าย มีมีดโกน

นี่บริขาร ๘ มีเท่านี้ พระเรามีสมบัติเพียงเท่านี้เอง แต่โลกเขามีสมบัติของเขา เวลาทำมาหากิน เขาทำธุรกิจของเขา เขามีเงินมีทอง เขามีอำนาจวาสนา เขามียศถาบรรดาศักดิ์ ไอ้นั่นมันเรื่องของโลกนะ เรื่องของโลกเพราะอะไร เพราะจิตใจของคน

จิตใจของคนถ้ามีสติ ศีลและธรรมเป็นพ่อแม่ของใจ ถ้าเป็นพ่อแม่ของใจนะ มีศีลมีธรรมขึ้นมา มันมีสติระลึกรู้อยู่ คนเรานะถ้ามีบุญกุศลขึ้นมา เวลาประกอบสัมมาอาชีวะ มันประสบความสำเร็จของโลก มันประสบความสำเร็จของมัน ถ้าประสบความสำเร็จนั่นมันเป็นผลของบุญ

ดูสิเวลาเศรษฐี มหาเศรษฐี เห็นไหม เขาประสบความสำเร็จของเขา เขาส่งมรดกตกทอดถึงลูกหลานของเขาก็ได้ หรือเขาอาจเกิดวิกฤติขึ้นมาในชีวิตของเขาก็ได้ เห็นไหม จากเศรษฐีกลายเป็นคนทุกข์คนเข็ญใจก็ได้ สิ่งอย่างนี้เห็นไหม มันมีอะไรเป็นหลักประกัน เป็นความจริงล่ะ เพราะอะไร เพราะมันเป็นสมบัติสาธารณะ มันเป็นสมบัติของโลก

ใครมีบุญกุศล ใครมีอำนาจวาสนา ใครมีปัญญา จะแสวงหาสิ่งนั้นได้ สิ่งที่เราเกิดมาเพื่อแสวงหาสิ่งนี้เพื่อเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย แต่หัวใจล่ะ หัวใจเราแสวงหาสิ่งที่เป็นบุญกุศลของเรา เห็นไหม ถ้าแสวงหาสิ่งที่เป็นบุญกุศลของเรา ถึงเราจะประสบความสำเร็จทางโลก เราก็วางสิ่งนี้ไว้ให้เป็นมรดกตกทอดให้กับชาติตระกูลของเรา แต่ใจของเรามันจะออกแสวงหาของเรา

ถ้าออกแสวงหาของเรา เรามีสติปัญญาไหม “ทรัพย์ภายนอก ทรัพย์ภายใน” ทรัพย์ภายนอก ถ้าไม่มีสติปัญญา เราจะติดทรัพย์ภายนอก คนที่มีทรัพย์ภายนอกแล้วถ้าจิตใจเขามีคุณธรรม เป็นบุญกุศล ทรัพย์นั้นจะเป็นประโยชน์กับเขามาก

แต่จิตใจของคนตระหนี่ถี่เหนียว ถ้าเขามีทรัพย์สมบัติจากภายนอกขึ้นมา ทรัพย์สมบัตินั้นจะเป็นโทษกับเขาทั้งนั้นเลย เขาจะเป็นทุกข์ทั้งนั้น เป็นทุกข์กับทรัพย์ของเขา เขาเป็นทุกข์กับทรัพย์ภายนอก จนทรัพย์นั้น จากสิ่งที่แสวงหามานั้น มันมาเหยียบย่ำทำลายหัวใจนะ เพราะมันเป็นความทุกข์ร้อนในหัวใจของเขา

แต่ถ้าคนมีศีลธรรม เห็นไหม ทรัพย์ภายนอก เขาก็วางไว้นั่น แต่จิตใจของเราล่ะ เราจะมีประโยชน์กับเรามากน้อยแค่ไหน ถ้ามีประโยชน์กับเรามากน้อยแค่ไหน เห็นไหม มันมีสติ มีปัญญา

มีคำว่ามีสติ สติมีคุณค่ามาก สติปัญญานี้มีคุณค่ามาก มันซื้อหาไม่ได้ มันเป็นจริตเป็นนิสัย เป็นการฝึกฝนขึ้นมาของใจ ถ้าใจมันฝึกฝนขึ้นมา สิ่งนี้เป็นประโยชน์กับใจขึ้นมา ใจมีสติ มีปัญญา พอใจมีสติมีปัญญานะชีวิตนี้จะราบรื่น ถึงมันจะขาดแคลน หรือมันจะมีอุดมสมบูรณ์ เราก็ไม่เดือดร้อนไปกับมัน เราไม่เดือดร้อนไปกับมันหรอก

เวลาเราเกิดมา เรามาตัวเปล่านะ เกิดมาพร้อมกับกำมือ เกิดมาพร้อมกับบอกว่า “โลกนี้ของเราๆ” มีแต่ร้องไห้ มีแต่ความเดือดร้อน มีแต่ความเจ็บช้ำน้ำใจออกมา แต่เป็นเด็กมันไม่รู้เรื่อง คำว่าไม่รู้เรื่องนะ ไม่รู้เรื่องทำไมมันร้องไห้ มันร้องไห้บีบคั้นพ่อแม่ มันจะเอาสิ่งใด ทำไมมันแสดงออกได้ล่ะ มันรู้ของมันแต่รู้ในภาวะของทารก แต่ถ้ามันพัฒนาขึ้นมา จิตใจมันโตขึ้นมา เห็นไหม มันก็เป็นมารยาสาไถ เราจะเป็นมารยาสาไถนะ เพราะถ้าเด็กมันจะไร้เดียงสา

ความไร้เดียงสานะ มันคิดอย่างไร มันก็แสดงออกอย่างนั้น แต่พอเรามันโตขึ้นมานะ นี่มารยาทสังคมนะ.. พูดอย่างนี้ไม่ได้.. มันสะเทือนคนอื่น คิดอะไรก็พูดออกมาไม่ได้

“คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง กระทำอย่างหนึ่ง นี่ไงมนุษย์”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในธรรม เห็นไหม มนุษย์นี้เป็นสัตว์ประหลาด “คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง” จะพูดอย่างที่คิดไม่ได้ ถ้าพูดอย่างที่คิดมันจะไปกระเทือนเขาหมดเลย

ทำไมถึงพูดอย่างที่คิดไม่ได้ล่ะ เพราะมันคิดมาโดยอะไร เพราะมันคิดมาโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันคิดจินตนาการของมันไป แล้วพูดออกมา

มันน่าเกลียดน่ากลัวไหม ความรู้สึกความนึกคิดของเราในหัวใจ มันน่าสะพรึงกลัวไหม ถ้ามันน่าสะพรึงกลัว เห็นไหม เราเห็นโทษของกิเลสไหม

ถ้าเราเห็นโทษของกิเลส เห็นไหม เรามีพ่อมีแม่นะ เรามีพ่อมีแม่เลี้ยงดูเรามา เวลาเรามาประพฤติปฏิบัติ เรามีครูบาอาจารย์ไหม ถ้าเรามีครูมีอาจารย์ เห็นไหม “พ่อแม่ครูอาจารย์”

พ่อแม่ครูอาจารย์ก็เป็นเหมือนเรานี่แหละ เป็นเหมือนเราเพราะจิตใจท่านก็เป็นเหมือนเรานี่แหละ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์นะ เวลาออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมาต้องพยายามตั้งสติ พยายามจะศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ไปทางไหนก็ไม่มีทางออก เพราะมนุษย์เหมือนกัน

มนุษย์เหมือนมนุษย์นี่แหละ คนเหมือนคน แต่ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันที่อำนาจวาสนาบารมีที่สร้างสมมาแตกต่างกัน ถ้าอำนาจวาสนาสร้างสมมาแตกต่างกัน เวลาจริตนิสัย ปฏิภาณไหวพริบของคน มันจะแสดงออกตรงนี้

ทีนี้เราเป็นมนุษย์ เราได้พบพระพุทธศาสนา เรามีความคิดอย่างไร เรามีความรับรู้อย่างไร เราจะหาทางออกให้ได้ หาทางออกเพราะอะไร เพราะมันน่าเบื่อหน่าย

คำว่า น่าเบื่อหน่าย คือผลของวัฏฏะ การเกิดและการตายนี่เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายมาก ดูสิ ดูทางสถิติของโลกเขา ทางวิชาการ เขาทำสถิติ ทรัพย์สมบัติมีมากมีน้อยเท่าไร มีต่างๆ เขาก็ทำเป็นสถิติของเขา แต่มนุษย์เรา เวลามันเกิดมันตาย สถิติของมันที่มันเกิดมันตายมากี่ภพกี่ชาติล่ะ ซ้ำๆ ซากๆ

เวลาเราเกิดมาเป็นคนทุกข์คนเข็ญใจ เราเห็นคนที่มีอำนาจวาสนา เขามีเงินทอง เราก็อยากจะมีความสุขอย่างนั้น เราคิดว่าเรามีเงินทองอย่างเขาแล้วเราจะมีความสุขไง แต่ไอ้คนที่มีเงินทองแล้ว เขาก็อยากจะเป็นเศรษฐีระดับโลก เขาก็อยากจะเป็นเศรษฐีมากขึ้นไปกว่านั้น เขาก็มองว่าคนที่มีเงินมากกว่าเขาจะมีความสุข เรามีเงินขนาดนี้ ไม่มีความสุขเหมือนคนที่มีมากกว่า เขาก็คิด เห็นไหม มันก็เป็นลูกระนาดไล่กันไปอย่างนี้ แต่นี่เป็นสถิติทางโลกนะ

แล้วสถิติทางใจล่ะ ใจที่มันเกิด เราเคยเกิดเป็นเศรษฐีไหม เราเคยเกิดมาเป็นกษัตริย์ เป็นกฎุมพี เราเคยเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน เราเคยเกิดมาต่างๆ เราเคยเกิดไหม สถิติอันนี้ที่มันฝังอยู่ที่ใจนี้ มันไม่มีใครรู้ได้

ความดีงามในหัวใจของเรา จะมีใครรู้ได้ เห็นไหม มันเกิดโดยกรรม มันมีแดนเกิด เพราะมีโดยกรรมใช่ไหม แต่การทำคุณงามความดีของเรา ในปัจจุบันนี้เราจะมาทำคุณงามความดีของเรานะ แล้วทำคุณงามความดีแบบธรรม ไม่ได้ทำคุณงามความดีแบบโลก

คุณงามความดีแบบโลก เห็นไหม ดูสิ คนมั่งมีศรีสุข เขามีแก้วแหวนเงินทองขึ้นมา แล้วเขาเสียสละออกมาเพื่อประโยชน์ของสังคมโลก คนนั้นก็เป็นคนดี นี่ไง เราเกิดมามีพ่อมีแม่ ถ้าเรากตัญญูกตเวทีของเรา เราก็เป็นคนดี เรามีจิตใจเป็นสาธารณะจะเกื้อกูลเขา เราจะช่วยเหลือเจือจานโลกขนาดไหน เราก็เป็นคนดี นี่คือดีแบบโลก ดีแบบโลกมันมองเห็นกันได้

เพราะมันมีดีแบบโลกนี่แหละ มันถึงจะมีดีแบบธรรม ถ้าเราไม่มีดีแบบโลกเลย จิตใจเราไม่เป็นสาธารณะ จิตใจเราไม่เจือจานใครเลย เราไม่มีทาน เราไม่มีศีล เราจะมาภาวนาอะไรกัน เพราะถ้ามันมีทานขึ้นมา เห็นไหม คนที่มีการเสียสละ มีการให้ทานขึ้นมา จิตใจมันเป็นสาธารณะ จิตใจมันคิดจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

ถ้าจิตใจมันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้คนอื่นไป จิตใจมันจะเปิดกว้าง ถ้าจิตใจมันเปิดกว้างขึ้นมา เห็นไหม มีทาน มีศีล มีภาวนา นี่ไง ถ้ามีภาวนา เราจะภาวนากันเพื่ออะไร เห็นไหม ดูแก้วแหวนเงินทองของโลกเขา สถิติการเกิดและการตาย สถิติของโลกที่คนมีคุณงามความดี ประเทศชาติมีนายกคนที่เท่าไร รัฐไหนมีนายก มีประธานาธิบดีมากี่คน ประธานาธิบดี ๑ ๒ ๓ ๔ มันก็ว่าไปอย่างนั้น สถิติเขาก็แขวนกันไว้อย่างนั้น

อันนี้มันเป็นสถิติเขาจดจารึกกันไว้ แต่ความรู้สึก ไอ้ใจที่มันเกิดตาย.. เกิดตาย..นี่ สถิติมันอยู่ที่ไหน เราจะรู้ได้อย่างไร กรรมเป็นแดนเกิด เห็นไหม เราเกิดกับพ่อกับแม่นะ พ่อแม่นี้มีบุญกุศลกับเรานะ กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูเรามานะ สิ่งนี้มันเป็นเวรเป็นกรรมมา เห็นไหม “อภิชาตบุตร” บุตรที่ดีกว่าพ่อแม่ บุตรที่เสมอพ่อเสมอแม่ บุตรที่ต่ำต้อยกว่าพ่อแม่

ในสมัยพุทธกาล มีทุกคตเข็ญใจเป็นขอทาน ขอทานคนนี้ เกิดมาเป็นขอทาน เวลาท้องขึ้นมาไปขอทานแล้วไม่ได้กินเลย ไปขอใครก็ไม่ได้ ลำบากมาก ลูกในท้องนี้ทำให้ลำบากมาก สุดท้ายแล้วนะ เวลาคลอดออกมาแล้วนะ ถ้าอุ้มลูกไปขอทานจะไม่ได้กินเลย แต่ถ้าวางลูกไว้แล้วไปขอทาน กลับมายังพอได้บ้างนะ

ขอทานเด็กนี่แหละสุดท้ายตอนหลังออกบวช ทุกข์ ชีวิตนี้มันทุกข์ยากมาก ทำสิ่งใดก็ไม่ได้อย่างปรารถนาเลย บวชเป็นพระแล้วไปบิณฑบาต ก็ไม่มีใครใส่บาตร เขามองไม่เห็นเลย นี่เพราะกรรมของเขา กรรมเป็นแดนเกิด แต่สุดท้ายแล้วเด็กคนนี้ก็ภาวนาเป็น บวชแล้วถึงที่สุดเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เห็นไหม เวลาบิณฑบาตที่ไหนก็ไม่ได้กิน มันร่ำลือไปหมด เห็นไหม

มันขัดแย้งกัน ขัดแย้งว่าพระอรหันต์ ทำไมบารมีเป็นอย่างนี้ เวลาพูดถึงทางโลก เห็นไหม ไปบิณฑบาตก็ไม่ได้ เกิดมาในท้องของแม่ พอแม่ไปขอทานก็ไม่ได้กิน แล้วถ้าแม่อุ้มไปด้วยก็ไม่ได้ ต้องทิ้งลูกไว้ก่อน ไปขอทานกลับมาแล้วมาเจือจานกัน ตัวเองก็ได้กิน ลูกก็ได้กิน กินสิ่งที่พ่อแม่ขอทานมา

ดูสิ แต่เวลาออกบวชขึ้นมา ทุกข์จนเข็ญใจ เขาก็มีความอดทนของเขา เขาก็สู้ของเขา เพราะอะไร เพราะสถิติทางโลกเขามองกันด้วยวัตถุ ว่าใครร่ำรวยกว่ากัน ใครทุกข์จนเข็ญใจกว่ากัน

แต่ในการปฏิบัติ มันต้องเอาชนะตนทั้งนั้น เวลาปฏิบัติเราต้องเอาชนะตัวเราเอง ถ้าเราเอาชนะตัวเราได้ เราจะบังคับตัวได้ ดูสิ ดูอย่างพระเรา เห็นไหม ถ้าเราบังคับตัวเราได้ เราอยู่ในศีลในธรรม สมบัติของพระ ศีลธรรมเป็นสมบัติของพระ สมบัติของโลกเขา แก้วแหวนเงินทองเป็นของโลกเขา แต่พระมีสิทธิมีได้แค่บริขาร ๘ เท่านั้น สิ่งใดที่ได้มาก็เป็นของของสงฆ์ สิ่งใดที่เป็นของบุคคลมา ถ้าบุคคลมีใจเป็นธรรม มันก็เป็นประโยชน์กับโลก เพราะอะไร เพราะว่าเรามีเท่านี้เอง เราประกาศตนอยู่แล้วว่าเราเป็นนักพรต เราประพฤติปฏิบัติเพื่อจะเอาใจเราพ้นจากกิเลสให้ได้

ถ้าจะเอาใจเราพ้นจากกิเลสนี้ให้ได้ เราเกิดมาจากพ่อจากแม่นะ พ่อแม่เลี้ยงดูมา จิตใจเราอ่อนแอ จิตใจเราผู้ที่ประพฤติปฏิบัติบวชใหม่นี้มันจะเอาอะไรมาเลี้ยงใจเราล่ะ ใจเราจะเกิดบนอะไร เราจะเกิดมาจากไหน เราไม่มีที่เกิดเลยหรือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ เพราะด้วยอำนาจวาสนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ววางธรรมวินัยไว้ให้เราก้าวเดินตาม

ถ้าเราก้าวเดินตามนะ ดูสิ เราบวชมาด้วยญัตติจตุตถกรรม เราบวชมาด้วยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่วางธรรมและวินัย เราจะเป็นภิกษุไหม เราจะเป็นนักพรตไหม ดูสิ เรามาอยู่วัดอยู่วากัน เพื่ออะไร ก็เพื่อจะดัดแปลงหัวใจของเรา แล้วหัวใจของเรามันจะเกิดมาจากไหนล่ะ มันจะเกิดมาจากไหน

สิ่งที่มีอยู่ แต่เรารื้อเราหาของเราไม่เจอ ดูสิ เขาจะทำงานหน้าที่อะไรแล้วแต่ เขาจะต้องมีเครื่องมือของเขา นายช่างเขาก็ต้องมีเครื่องมือของเขา แม้แต่ขอทานเขายังมีกะลาเลย แล้วเราปฏิบัติ เราจะเอาอะไรปฏิบัติล่ะ เราจะเอาอะไรเป็นเครื่องมือของเรา มันเวิ้งว้างไปหมด มันไม่มีสิ่งใดจะจับต้องได้เลย มันเป็นนามธรรม

คำว่า นามธรรม นี้ร้ายกาจนัก สิ่งที่เป็นวัตถุ เห็นไหม ที่ว่าเป็นไตรลักษณ์ มันแปรสภาพของมันเป็นธรรมดา โลกนี้เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา โลกนี้เป็นอนิจจัง เห็นไหม วัตถุมันเป็นอนิจจัง วัตถุมันแปรสภาพไง

สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะอะไร เพราะมันไม่คงที่ มันแปรปรวน เราก็เห็นอยู่นี่แหละ วัตถุมันเปลี่ยนแปลงก่อน พอวัตถุมันเปลี่ยนแปลง เห็นไหม ดูสิ ดูร่างกายของเรามันเปลี่ยนแปลงก่อน ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงก่อน แต่จิตใจเรามันยึดมั่น เห็นไหม

พอจิตใจเรายึดมั่น สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะมันเปลี่ยนแปลงไง สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา อนัตตาเพราะอะไร เพราะมันแปรสภาพของมัน

สิ่งที่เป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ ถ้าทุกข์มันเป็นอนัตตา สิ่งที่นามธรรม เห็นไหม มันลึกซึ้งกว่า จะบอกว่าสิ่งที่เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นความแปรปรวน ที่เป็นไตรลักษณ์นี้ มันลึกซึ้งกว่าวัตถุมากมายนัก

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดกับหลานพระสารีบุตรที่เขาคิชฌกูฏ เห็นไหม “ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ เธอไม่พอใจสิ่งใดๆ เลย เธอก็ต้องไม่พอใจอารมณ์ความรู้สึกของเธอด้วย”

เห็นไหม ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นอารมณ์ของคนเป็นวัตถุล่ะ ทำไมเห็นความรู้สึก ความนึกคิด เป็นวัตถุขึ้นมาล่ะ “ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ เธอก็ต้องไม่พอใจอารมณ์ความรู้สึกของเธอด้วย เพราะอารมณ์ความรู้สึกของเธอก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง”

อารมณ์มันเกิดไง อารมณ์มันเกิด เห็นไหม ดูสิ จิตใจของเรานี่มันเป็นนามธรรม ถ้ามันไม่มีความนึกคิดมันจะแสดงตัวออกมาอย่างไร ถ้าเธอไม่พอใจอะไรเลย เธอมีความฟุ้งซ่านอยู่ “อารมณ์ความรู้สึกอันนั้นก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง” ทำไมวัตถุที่เรามองเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ เห็นไหม สิ่งใดที่เป็นวัตถุ มันแปรสภาพตลอดเวลา สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา

แล้วสิ่งที่เป็นอารมณ์ความรู้สึกของเธอมันก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง มันก็เป็นอนิจจังเหมือนกัน มันก็แปรสภาพของมัน แต่จิตใจเรามองไม่เห็น เพราะอะไร เพราะความรู้สึกเป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเราไปทั้งหมดเลย พอเป็นเราไปทั้งหมด เห็นไหม เรามองไม่เห็นเรานะ กิเลสก็เป็นเรา ความเพียรก็เป็นเรา เวลาจะนั่งทำความเพียร เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา พอเป็นเรา เราก็เดือดร้อน

แต่ถ้าด้วยความตั้งใจ ด้วยความเจตนาของเรา เห็นไหม เจตนาของเราที่เราจะค้นหา เราจะให้รู้จริง เพราะอะไร เพราะมันเป็นอนาถาไง จิตใจเรามันเป็นอนาถา พอจิตใจเราเป็นอนาถาแล้วเราไม่มีสิ่งใดดูแลมันเลย เพราะจิตเราเป็นอนาถา เห็นไหม

เราเกิดมาจากพ่อกับแม่นะ แล้วถ้าเราเกิดในธรรม ถ้าเราไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเลย มันเป็นอนาถา

สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

มันอนาถาไหม ไม่มีที่มาที่ไปเลย พ่อแม่หาไม่เจอ

เราไปอยู่กับครูบาอาจารย์นะ “พ่อแม่ครูอาจารย์” ท่านจะฝึกเราตรงนี้แหละ ฝึกเราขึ้นมาให้ไม่เป็นอนาถา

เราเกิดมา เห็นไหม ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีพ่อไม่มีแม่นะ ตรัสรู้เองโดยชอบ ความตรัสรู้เองโดยชอบนี้จะเอาตำรา เอาผู้ชี้นำ มาจากไหน ไม่มีพ่อไม่มีแม่ยังตรัสรู้เองโดยสยมภู โดยการดิ้นรน โดยการแก้ไข โดยการพิจารณา โดยการแยกแยะ โดยการค้นคว้า ตรัสรู้เองโดยชอบแล้ววางธรรมวินัยไว้ ๕,๐๐๐ ปี

ดูตามประวัติศาสตร์สิ เมืองไทยมีมาเจ็ดร้อยกว่าปี ไม่ถึงแปดร้อยปี เมืองไทยน่ะแล้วสองพันกว่าปี ดูสิ ดูศาสนา ตั้งแต่อินเดีย ตั้งแต่ชมพูทวีป ตั้งแต่เมืองจีน สองพันกว่าปี เขาเก่าแก่มาขนาดไหน ความเก่าแก่อันนี้ เวลารัฐ เวลาชาติต่างๆ มันแปรสภาพไป มันก็เป็นสถิติ

เมื่อก่อนดูสิ ดูอย่างที่เขาไม่มีตำรับตำรา เขาพยายามไปอินเดียกันเพื่อจะไปรื้อค้นเอาตำรับตำรากันมา แล้วแปลกันมา อันนี้เราห่วงหาว่าสถิติว่ามันจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง

พอปัจจุบันนี้ เห็นไหม การศึกษามันเจริญขึ้นมา ค้นคว้ากันมา แล้วพยายามค้นคว้าสิ่งนี้มาให้มันมีความถูกต้อง แล้วพอมาปฏิบัติ มันมีความสงสัยไหมล่ะ

ทฤษฎีถูกต้องหมด ทุกอย่างชี้เข้าสู่หัวใจหมด แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ด้วยความอนาถาของใจ ใจมันอนาถา ไม่มีพ่อไม่มีแม่ แต่เวลาครูบาอาจารย์เรานะ เอาข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา ให้มีพ่อมีแม่ ให้มีที่ยึดมั่น

เวลามีข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม ฝึกสติขึ้นมา ธรรมทั้งหลายเกิดจากศีลธรรม แล้วศีลธรรมมันเป็นประเพณีวัฒนธรรม

คำว่าศีลธรรม ศีลคืออะไร ศีลคือข้อห้าม ศีล-อธิศีล อธิศีลคือความปกติของใจ ถ้าความปกติของใจ ถ้าใจมันตั้งมั่น ใจมันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน มันก็ไม่ต้องการสิ่งใดเลย แล้วมันตั้งมั่นหรือเปล่าล่ะ มันยังไม่ได้ตั้งมั่น

ศีลธรรม จริยธรรมเป็นสมบัติของสังคม สังคมไทย เห็นไหม วัฒนธรรมของชาวพุทธเราก็บอกเป็นศีลเป็นธรรม แล้วตัวมันอยู่ไหน ตัวของศีลธรรม ตัวความจริงมันอยู่ไหน ถ้าตัวความจริงมันอยู่ที่ไหน ตัวความจริงมันสัมผัสได้อย่างไร นี่ไงโอปนยิโก เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม แล้วใจมันเป็นธรรมจริงหรือเปล่า ใจมันปล่อยวางจริงหรือเปล่า

นี่ไง แดนเกิดของธรรม มันต้องมีหลักมีเกณฑ์มา

ถ้ามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา จิตมันจะมีสติปัญญาขึ้นมา มีสติปัญญาเพราะเหตุใด เพราะเราใคร่ครวญค้นคว้า ดูสิ เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เขาจะบอกว่า เราจะเป็นโรคอะไร เราเจ็บไข้ได้ป่วยมาจากไหน

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่า สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ เราก็มองมาจากข้างนอก วัตถุมันก็อนิจจัง ความรู้สึกนึกคิด เห็นไหม อารมณ์มันก็เป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ แล้วทุกข์จริงหรือเปล่า ถ้าทุกข์จริงขึ้นมา นี่ไง มันมีสติ มีปัญญาให้เราค้นคว้าตัวเราเอง ถ้าค้นคว้าตัวเราเอง “จิตแก้จิตนะ”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแสดงธรรม ธรรมจักร เห็นไหม แล้วพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมนะ “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ”

นี่ไง พระอัญญาโกณฑัญญะได้ฟังธรรมอันนั้น ได้ฟังธรรมเพราะเหตุใด ฟังธรรมเพราะเวลาที่พระอัญญาโกณฑัญญะและปัญจวัคคีย์ได้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ ๖ ปี การอุปัฏฐาก เห็นไหม คือเหมือนเราประพฤติปฏิบัติมาด้วยกัน ถึงมีหน้าที่อุปัฏฐากอยู่แต่ก็ได้ทำความสงบของใจ ทำหลักเกณฑ์ขึ้นมาเพื่อจะหาทางออกให้ได้

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เห็นไหม “ทเวเม ภิกขเว ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ” เพราะพระปัญจวัคคีย์ฝังใจมาก ฝังใจว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละทิ้งจากความเพียร แล้วไปฉันอาหารของนางสุชาดา เหมือนกับไปมักมากในกิเลสตัณหาทะยานอยาก จิตใจมันก็เลยต่อต้านอยู่

“ทเวเม ภิกขเว ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ” อัตกิลมถานุโยค การทรมานตนก็เป็นความลำบากเปล่าอันหนึ่ง ความเสพสุขมันก็เป็นโทษอันหนึ่ง ความเสพสุข กามสุขัลลิกานุโยค เห็นไหม มัชฌิมาปฏิปทา มันไม่มีอยู่ในโลกนี้ เพราะมัชฌิมาปฏิปทามันก็เป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น

ดูสิปัจจุบันนี้ มัชฌิมาปฏิปทาแล้วมันมัชฌิมาปฏิปทาของใคร มัชฌิมาปฏิปทาของกิเลสไง แต่เวลาเราจะมัชฌิมาให้ลงกับความร่มเย็นเป็นสุข มันมัชฌิมาไม่ได้ มันมัชฌิมาเพราะอะไร เพราะกิเลสเป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเรา มันแถไถไปหมด

นี่ไง เด็กกำพร้า จิตกำพร้า ทั้งๆ ที่มีเวรมีกรรม สร้างกรรมมานะ เรามีพ่อมีแม่ จิตนี้มันต้องมีกรรมเป็นแดนเกิด มันถึงได้มาเกิดเป็นเรา เป็นมนุษย์ที่นั่งอยู่นี่ มันยังกำพร้าทั้งๆ ที่มีธรรมวินัยนะ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มี

เรามีธรรมและวินัยนี้อยู่ มันกำพร้าเพราะอะไรล่ะ มันกำพร้าเพราะว่าเราไม่จริงขึ้นมาเอง ถ้าเราจริงขึ้นมา เห็นไหม นี่ไง เกิดจากพ่อจากแม่ เกิดจากศีล เกิดจากธรรม เกิดจากสติปัญญาของเรา ถ้าเกิดจากสติ เห็นไหม สติมันเกิดขึ้นมา มันจะก่อร่างสร้างตัวของมันขึ้นมา

สติ เห็นไหม จิตที่มันจับต้องไม่ได้ จิตที่มันรับรู้ไม่ได้ จิตที่เป็นนามธรรมนี่แหละ แล้วเราเองก็ตะครุบเงากันอยู่ ตะครุบว่ากลัวมันจะผิดไปอย่างโน้น กลัวจะผิดไปอย่างนี้ นี่มันเหมือนเด็กอนาถา ดูสิ ไม่ได้พูดแบบดูถูกนะ เราพูดแบบเทียบเคียงให้เห็นเป็นบุคลาธิษฐาน

เราไปดูเห็นไหม ที่เลี้ยงเด็กกำพร้า ดูสิ มันเศร้าสร้อยหงอยเหงาแค่ไหน น่าสงสารนะ น่าสงสารชีวิตเขา แต่เด็กกำพร้าถ้าเขามีการส่งเสริมขึ้นมา เวลาเขาจบการศึกษาก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาได้นะ อยู่ที่อำนาจวาสนาของคน แต่เราดูโดยภาพรวม เราไปดูเด็กอนาถา เด็กกำพร้าที่เขาอยู่ในที่เลี้ยงสาธารณะ เห็นไหม มันทั้งหงอยทั้งเหงา ทั้งว้าทั้งเหว่ มีแต่ความทุกข์ไปหมดเลย มันไม่เหมือนกับมีพ่อมีแม่เลี้ยงดู ถ้ามีพ่อมีแม่เลี้ยงดู เด็กมันก็ยังไปตามอำนาจวาสนาของเด็ก

จิตใจของเรามันอนาถา แล้วบอกว่า “พุทธพจน์ พุทธพจน์” อ้างอิงหมดเลย แล้ว ตัวมันเองก็ทุกข์ ตัวมันเองก็ไม่รู้จะหันซ้ายหันขวา มันก็ยังอนาถา

เห็นไหม เราเกิดจากพ่อจากแม่มาเป็นมนุษย์ ธรรมจะเกิดก็เกิดจากศีลจากธรรม เกิดจากศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามันเกิดจาก ศีลสมาธิ ปัญญา เห็นไหม พอมันเกิดขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา มันมาจากไหนล่ะ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นอริยสัจใช่ไหม ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

มรรคญาณ สิ่งที่เป็นมรรคญาณ จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ จิตที่มันชำระกิเลสขึ้นมา มันมีพ่อมีแม่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมา สิ่งที่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมา มันเลี้ยงดูด้วยอะไรล่ะ มันเลี้ยงดูด้วยสัจธรรม สัจธรรมนี้เป็นความจริงอันหนึ่ง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม คืออะไร คืออริยสัจ พุทธศาสนา หัวใจของศาสนาคืออริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ละด้วยนิโรธ เกิดจากมรรคญาณ นี่ไง มันจะเกิดจากที่นี่ มันจะเกิดจากศีลธรรม มันจะเกิดจากมรรคญาณ ศีล สมาธิ ปัญญา

“ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะเกิดขึ้นมาได้เอง” นี่เราคิดกันผิดนะ เราคิดว่าเราตรัสรู้ธรรม แล้วเราจะรู้จัก ศีล สมาธิ ปัญญา

ไม่ใช่ ต้องเกิดจากการที่เราฝึกฝน เรามีการกระทำ มันต้องมี ศีล สมาธิ ปัญญาก่อน มรรคญาณที่มันชำระล้างกิเลสแล้ว จิตใจเราถึงพ้นออกไปจากกิเลส การพ้นออกไปจากกิเลส นี่ไง พ่อแม่ไง ผลงานของเรา เห็นไหม นี่ไงผล คือผลที่ผ่านการกระทำ ถ้าการกระทำถูกต้อง

ดูสิ พ่อแม่ที่ดี เขาเลี้ยงลูกของเขามา เขาถนอมรักษาขึ้นมา เขาจะไม่บังคับ เขาจะให้ลูกของเขาเติบโตขึ้นมาด้วยสติปัญญาของเขา

แต่ถ้าไปดูพ่อแม่บางคน พ่อแม่ที่ใจของเขาเห็นแก่ตัว เขาเอาลูกไปหาผลประโยชน์ เขาเอาลูกไปค้าของผิดกฏหมาย เขาเอาลูกไปทำสิ่งที่ผิดกฏหมาย เพื่อจะให้ได้สิ่งนั้นมาให้กับพ่อแม่เขาได้ใช้ประโยชน์ในปัจจัยเครื่องอาศัย

นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติของเรา ศีลธรรม ดูสิ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สติ ศีล สมาธิ ปัญญา มันเป็นจริงไหม ถ้ามันเป็นจริงมันก็เป็นสัมมาสมาธิ มันเป็นสัมมาทิฏฐิ มันเป็นความเห็นที่ถูกต้อง ถ้ามันเป็นสิ่งที่เรารู้เราเห็นของเรา เรามีการกระทำเรา

แต่พ่อแม่ที่เอาเปรียบลูก พ่อแม่ที่ทำลายลูก มันเป็นมิจฉา นี่ไง เราสร้างของเราขึ้นมานะ เราปฏิบัติของเราขึ้นมาแท้ๆ เลย ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นมิจฉาสมาธิ มิจฉาสติ ทำให้จิตใจนี้เศร้าสร้อยหงอยเหงา ให้จิตใจนี้อยู่ในอำนาจของกิเลสตัณหาทะยานอยาก แล้วอ้างว่านี่เป็นธรรมนะ

สิ่งที่เป็นธรรม ถ้าเป็นธรรมทำไมทำให้จิตใจของเราไม่พัฒนา จิตใจของเราไม่ก้าวเดินขึ้นไป จิตใจของเราไม่เป็นธรรมขึ้นมาล่ะ เห็นไหม เราเกิดจากพ่อจากแม่ เกิดจากศีลธรรม จริยธรรม เกิดจากความเป็นจริง แต่ถ้ามันเกิดจากมิจฉา ด้วยความเห็นผิด เพราะกิเลสมันพลิกแพลงขึ้นมา

การเป็นพ่อเป็นแม่มันก็เป็นวัยใช่ไหม วัยเจริญพันธุ์ถ้ามีครอบครัวก็มีลูกมีหลานมีเหลนมีเต้าขึ้นมา นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มันเป็นจริงขึ้นมา ถ้าจิตใจมันสมควร จิตใจมันเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา ขึ้นมาตามความเป็นจริง มันจะมีผลไง มันจะทำให้จิตใจนี้มันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา

เรากำหนดพุทโธก็ได้ เอาปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ ทำความสงบของใจขึ้นมา มันเหมือนเลี้ยงลูกนะ

ศีล สมาธิ ปัญญา มันเลี้ยงหัวใจเรานะ มันพัฒนาหัวใจของเราขึ้นมา เห็นไหม มันมีผลตอบแทนขึ้นมา ผลตอบแทนอันนี้มันเป็น อัตตาหิ อัตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน มันเป็นความจริงไง พุทธศาสนาให้ความสำคัญตรงนี้มาก พุทธศาสนาไม่พูดถึงสิ่งภายนอก

แต่สิ่งภายนอกนี้มันเป็นเรื่องของวัฏฏะ มันมีจริงไง สิ่งภายนอกอยู่ในผลของวัฏฏะ แล้วจิตนี้มันหมุนไปในวัฏฏะ เราอยู่กับสังคม มีครอบครัว มีลูกมีหลานมีเหลนใช่ไหม แต่แล้ว แต่ละจิตก็ต้องแก้จิตของตัวเอง

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ เห็นไหม เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เอตทัคคะ ๘๐ องค์ ความถนัดของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน ดูพระโมคคัลลานะสิ มีฤทธิ์ในการเผยแผ่ศาสนา พระสารีบุตรมีปัญญาในการแสดงธรรมเพื่อให้คหบดีต่างๆ เขาซาบซึ้งในธรรมของเขา เขาก็จะมีโอกาสของเขา เขาซาบซึ้งขึ้นมาเขาจะหาทางออกของเขา พระโมคคัลลานะท่านมีฤทธิ์มีเดชต่างๆ ทำให้เห็นประโยชน์ในพุทธศาสนา นี่เป็นผลของวัฏฏะ

นี่ก็เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกว่า ธรรมของเรานี้ให้เลี้ยงหัวใจของเรา แก้ไขหัวใจของเรา

แล้วเรื่องของการเกิดและการตาย เรื่องของวัฏฏะมันมีจริงหรือเปล่า มันมีจริง มันเป็นจริงตามนั้นจริงๆ

เป็นจริงตามนั้นจริงๆ ต่อเมื่อเราเป็น ถ้าเราเกิดมา จะเป็น เทวดา อินทร์ พรหม เราก็เคยเป็นมาเหมือนกัน ปัจจุบันนี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ปัจจุบันนี้เราประพฤติปฏิบัติของเรา ปัจจุบันนี้เราจะรื้อค้นของเรา มันถึงต้องแก้เข้ามาในหัวใจของเรา

ถ้ามันแก้หัวใจของเรา เห็นไหม ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา แล้วมันจะรู้เห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาจากจิต อันนั้นมันเป็นสิ่งที่จิตมันออกไปคึกคะนองตามแต่อำนาจวาสนา

นี่ไง ในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าพ่อแม่ที่ดี พ่อแม่มีสติมีปัญญาที่ดี จะรักษาจิตของเราให้ดี ถ้ารักษาจิตแล้วจิตมันคึกคะนองขึ้นมา เวลาสงบขึ้นมา มันรู้เห็นสิ่งต่างๆ มันเกิดนิมิตต่างๆ อันนั้นก็เป็นอันหนึ่ง

แต่ถ้ามันสงบโดยเป็นสัมมาสมาธิ จิตมันสงบเข้ามา มันปล่อยวางเข้ามา มันเป็นหลักเป็นเกณฑ์เข้ามา อันนี้มันเข้ากับสัมมาสมาธิ เห็นไหม ถ้าเข้ากับสัมมาสมาธิ เพราะเราต้องการสิ่งนี้ เราต้องการศีล สมาธิ ปัญญา

ถ้าเกิด ศีล สมาธิ ปัญญา ขึ้นมา เราแก้ไขเรา เราย้อนกลับมา ย้อนกลับมาชำระล้าง ถอดถอน ดึงอุปทานของใจออกมา ชำระล้างออกมาให้ผ่อนคลายออกไป สิ่งนี้ต่างหาก เห็นไหม ถ้าการทำอย่างนี้ นี่ไง เกิดจากพ่อจากแม่ เกิดจากศีล สมาธิ ปัญญา

การที่จิตมันจะเกิดขึ้นมาจากศีล สมาธิ ปัญญา มันมีการกระทำ เหมือนเราคลาย เห็นไหม เราผ่อนเราคลายสิ่งต่างๆ เราจางคลายในความยึดมั่นถือมั่นของใจ ใจมันจะผ่อนคลายของมันออกมา

ถ้ามันผ่อนคลายของมันขึ้นมา เรารู้เราเห็นของเราเองนะ มันเป็นปัจจัตตัง สัณทิฏฐิโก จิตนี่รู้ จิตนี้ถ้ามันเศร้า มันหมอง มันทุกข์ มันยาก เราก็รู้ของเรา แต่มันหาทางออกไม่ได้ เราจะพยายามหาทางออกอยู่

ถ้าคนมีสติปัญญาขึ้นมา มันจะรับรู้ของมันว่าสิ่งนี้เป็นความทุกข์ เบื่อหน่ายมาก สถิติของโลกก็เป็นสถิติของโลกเขา แต่สถิติของเรา เห็นไหม จิตใจของเรามันได้ซับซ้อนขึ้นมา เราเคยเกิดเคยตายมาทั้งนั้น เราเคยเป็นมาแล้วทั้งนั้น

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกว่า เราเป็นญาติกันโดยธรรม เราเกิดเราตายเสมอกัน เพียงแต่ว่าเวลาเกิดเวลาตายภพชาติใดก็ผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่ต่างๆ ขึ้นมา

ทีนี้ถ้ามันผลัดเปลี่ยนกัน แต่เวลาผลัดเปลี่ยนขึ้นไปแล้ว มันก็ผูกโกรธ มันก็ทำแต่ความเจ็บช้ำน้ำใจต่อกัน มันก็สร้างเวรสร้างกรรมต่อกันไป แต่ถ้ามันทำคุณงามความดีต่อกัน เจือจานต่อกัน เห็นไหม มันก็คู่สร้างคู่สม คู่ทุกข์คู่ยาก คู่ล้างคู่ผลาญ มันเป็นมาของมันอย่างนั้น ถ้ามันเป็นของมันอย่างนั้น เรามีสติขึ้นมา เวลาเราทำวัตรสวดมนต์ขึ้นขึ้นมา เห็นไหม ขอให้เป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

ถ้ามีสติปัญญา มันคิดอย่างนี้ได้ แต่ถ้าไม่มีสติปัญญาล่ะ มันก็ยิ่งสร้างเวรสร้างกรรม สร้างความเจ็บช้ำ นี่ไงกรรม ดูสิ เราทำความเจ็บช้ำให้คนอื่นต่างๆ มันจะเป็นผลกรรมทั้งนั้น

แล้วเวลาในวงปฏิบัติเรา ถ้าภิกษุ หมู่สงฆ์ มีความเสมอกัน มีความเห็นเสมอกัน เห็นไหม สัปปายะ ๔ เรื่องนี้หาได้ยากมาก หมู่คณะมีความเห็นเสมอกัน สถานที่เป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ สัปปายะ ๔ นี้หาได้ยากมาก

ทีนี้ในการประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันมีทิฏฐิเสมอกัน มีความเห็นเสมอกัน การปฏิบัติมันก็ปฏิบัติได้ง่าย สิ่งนี้มาจากไหน สิ่งนี้เกิดจากเวรจากกรรม เรามาจากไหนกัน แล้วเรามาพบกันอย่างนี้

ฉะนั้นสิ่งที่เป็นเปลือกๆ ภายนอก เราวางไว้ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะย้อนกลับเข้ามาในหัวใจของสัตว์โลก มันมีคุณค่ามาก ไม่มีสิ่งใดสัมผัสธรรมได้ กระดาษสัมผัสธรรมไม่ได้หรอก กระดาษมันจดจารึกตัวอักษรได้เท่านั้น

ศีล สมาธิ ปัญญา มันอยู่ในหัวใจ หัวใจถ้ามันเป็นขึ้นมา เห็นไหม “แดนเกิด” เกิดจากศีลจากธรรม ถ้าเกิดจากศีลจากธรรม แล้วต้องถนอมรักษา ถนอมรักษาไปจนกว่ามันจะมีความเข้มแข็ง

ดูนะ ทางการกีฬา ทางการศึกษา เขาจะหาช้างเผือกกัน เขาต้องการปั้นช้างเผือกให้เป็นประโยชน์กับสังคม เขาหากันมา แล้วเวลาเขาเอามาทำ มันจะเป็นได้แบบที่เขาปรารถนาไหมล่ะ มันก็เป็นได้บ้าง เป็นไม่ได้บ้างใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกัน เราจะหาหัวใจของเรา เราจะหาช้างเผือก เราจะหาคุณงามความดีของเรา ถ้าคุณงามความดีทางโลก เห็นไหม เราสู้เขาไม่ไหว ยิ่งสถิติ เขาหากันได้มากมายขนาดไหน เราทุกข์จนเข็ญใจ อันนั้นเราก็เกิดมา เราก็มีปัจจัยเครื่องอาศัยพอสมควรแก่ตัวเรา

ทีนี้เราจะหาคุณงามความดีของเรา เหมืองถ่านหิน เหมืองแร่ต่างๆ เขาต้องขุดค้นของเขาเพื่อเป็นธุรกิจของเขา แต่เราจะขุดค้นหาคุณงามความดีของใจเรานี้ ใจที่มันสัมผัสธรรม เวลาที่มันทุกข์ ใจสัมผัสเต็มที่เลย ความทุกข์นี้ไม่ต้องบอกกันนะ ลองเอาหันหน้าเข้าหากันแล้วระบายความทุกข์ออกมา จะฟังไม่หวาดไม่ไหวเลย

ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง มันเป็นความจริงอย่างนี้ คนเราเกิดมาเผชิญกับอันนี้ แม้แต่ขับถ่ายมันก็เป็นความทุกข์แล้ว เพียงแต่ว่ามันเป็นความเคยชิน มันเป็นความสัญชาตญาณ พอเรานั่งนานเราก็ต้องเปลี่ยนท่า อิริยาบถ ๔ มันบังสัจธรรมไว้ ด้วยสัญชาตญาณ ด้วยความเป็นจริง เพียงแต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราก็เผชิญกับความจริงของมัน เห็นไหม นั่งสมาธิ เดินจงกรม ครึ่งวันค่อนวัน มันเป็นจริงขนาดไหน สิ่งที่อิริยาบถมันบังของมันไว้

ฉะนั้น ถ้าเราตั้งใจของเรา เราทำของเราขึ้นมา ให้หัวใจมันเข็มแข็งขึ้นมา ให้เห็นตามความเป็นจริง มันเจ็บมันปวดจริงหรือ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ ทุกอย่างเป็นจริงหรือ

ถ้ามันมีแดนเกิด เห็นไหม พอมันเกิดขึ้นมา จิตใจมันเข้มแข็งขึ้นมา จิตใจเข้มแข็งจากการประพฤติปฏิบัติ จิตใจเข้มแข็งจากการฝึกหัด

ถ้ามีการฝึกฝน ถ้ามันเข้มแข็งขึ้นมา มันเริ่มมีหลักเกณฑ์ของมันขึ้นมา แล้วมันจะสงบตัวลงได้

ถ้ามันไม่สงบตัวลง เราก็ใช้ปัญญาของเรา ถ้าบอกว่าจิตสงบแล้วเป็นวิปัสสนาเลย มันไม่ใช่ เพียงแต่เป็นพื้นฐานของเรา

ถ้าจิตสงบ เราทำความสงบของใจเข้ามา ปัญญามันจะเกิด ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมา มันใคร่ครวญสิ่งต่างๆ ด้วยความถ่องแท้ มันพิจารณาสิ่งต่างๆ มันพิจารณาด้วยความปลดเปลื้อง มันพิจารณาแล้วมันมีความสุข ความพอใจ มันมีความขยันหมั่นเพียร แต่ถ้าจิตมันไม่สงบ มันเหมือนเอาหัวชนภูเขานะ ทุกข์ยากไปหมดเลย แล้วก็เหยียบย่ำตัวเองนะ “เราทำไม่ได้.. เราทำไม่ได้.. ” มันน้อยเนื้อต่ำใจไปตลอดเลย

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์ ครูบาอาจารย์เราก็เป็นมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์ ถ้ามนุษย์ทำได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้ ถ้ามนุษย์ยังทำกันได้อยู่ทำไมเราเป็นคนที่อำนาจวาสนาด้อยขนาดนั้นเชียวหรือ เราถึงทำสิ่งใดไม่ได้เลย

ถ้ามนุษย์ทำได้ เราก็ควรจะทำได้ แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีอำนาจวาสนานะ ถ้ามนุษย์ทำได้ เราก็ต้องทำได้ ถ้าเราทำได้นะ ทำได้มาจากไหน ครูบาอาจารย์ท่านนั่งสมาธิ เดินจงกรม เราก็ทำของเราไป ถ้าเรานั่งสมาธิ เดินจงกรมของเราด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยความเป็นจริงนะ ถ้ามันจะมีความผิดพลาดก็เป็นเรื่องธรรมดา

เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในธรรม ถ้าเรามีความหมั่นเพียรของเราโดยเสมอต้นเสมอปลาย เจ็ดวัน เจ็ดเดือน เจ็ดปี อย่างน้อยจะได้เป็นพระอนาคา ถ้าถึงที่สุดก็เป็นพระอรหันต์ได้

เจ็ดวัน เจ็ดเดือน เจ็ดปี.. เจ็ดปีนี้เราตั้งสติ ตั้งใจของเรา เดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนาด้วยความมุมานะบากบั่น เราทำไม่ได้หรือ แล้วเวลาเราลุยไฟ ลุยทุกข์ลุยยากมาในวัฏฏะ เราลุยมาไม่มีต้นไม่มีปลาย ทำไมเราผ่านมาได้

แล้วบอกว่ามันจะตาย เวลาบอกว่าจะตายแล้วนะ ทำอะไรก็จะตายแล้วนะ แล้วเวลาเกิดตายๆ ทำไมมึงไม่ตายจริงๆ ซะที ไม่มีตายหรอก ถ้ามันเกิดตายจริง เราจะไม่นั่งอยู่นี่หรอก สิ่งที่เรามานั่งอยู่นี่ มันมาจากไหน มันก็ตายไม่จริง มันตายโดยสมมุติ ตายโดยเวรโดยกรรม ตายโดยภพชาติ แต่จิตมันไม่ตาย

ภพชาตินี้มันตาย เกิดเป็นมนุษย์ก็ตาย เกิดเป็นเทวดาก็ตาย เกิดเป็นอินทร์เป็นพรหมก็ต้องตาย ถึงลงนรกอเวจีพอหมดอายุขัยก็ต้องขึ้นมา ไม่มีอะไรตายสักอันเลย แต่มันเป็นมิติ มันเป็นสถานะของจิตนี้ที่ไปเกิดในวัฏฏะ แต่ตัวจิตมันไม่เคยตาย

แล้วพอมาประพฤติปฏิบัติ ก็บอกว่า มันจะตาย.. จะตาย.. แล้วมันก็ไม่เคยตายสักที ตายหลอกๆ ตายปลอมๆ หลอกให้ตาย พอหลอกให้ตาย เราก็ล้มลุกคลุกคลาน เห็นไหม แต่ถ้ามันตายจริง ดูสิ เรามีสติปัญญาขึ้นมา จนมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา แล้วเราวิปัสสนาของเรา เราใช้ปัญญาของเรา อวิชชามันอยู่ไหน มารที่มันครอบคลุมอยู่ไหน ไอ้ตัวนี้แหละมันตัวพาเกิดพาตาย แล้วเราใคร่ครวญของเราขึ้นไป จิตที่มันเห็นผิดนี่มันเห็นผิดเห็นอะไรผิด ตื่นขึ้นมา

ดูสิ ดูเศรษฐี เห็นไหม เศรษฐีขี้เหนียวมีเงินมีทองนะ โอ้โฮ.. ไม่เคยใช้สอยเลย เก็บไว้อย่างดีเลย เก็บไว้เพราะนึกว่าจะเป็นสมบัติของตัว แต่ตายเปล่า สมบัตินี่ลูกหลานเขาเอาไปใช้ ตัวเศรษฐีได้แต่กองทุกข์

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจมันบอกว่ามันเข้าใจธรรม นี่ไง เศรษฐีธรรม เศรษฐีขี้เหนียว นู่นก็ของกู นี่ของกู โดยจิตใจสำนึก แล้วบอกว่าเป็นธรรม ศึกษาแล้ว ธรรมะก็ของกู ทั้งๆ ที่เวลาพิจารณาไป นั่นก็ของกู นี่ก็ของกู ธรรมะก็ของกู แล้วมันเป็นจริงหรือเปล่าล่ะ

มันเป็นจริงเพราะเศรษฐีขี้เหนียวนั้น เศษทรัพย์สมบัตินั้นมันใช้ไม่ได้ประโยชน์สิ่งใดเลย นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตใจมันปฏิบัติไป โน่นก็ของเรา ธรรมะก็เป็นอย่างนั้น รู้ไปหมดเลย เศรษฐีขี้เหนียว มันไม่เป็นจริง

ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา เอามาแยกแยะดูสิ ว่ามันเป็นจริงหรือเปล่า เป็นของกูจริงหรือเปล่า นี่ไงชีวิตนี้ยังไม่ใช่ของกูเลย ชีวิตนี้ยังต้องตายไปเลย จิตนี่มันเป็นตัวมันจริง เพราะจิตมันเป็นจิตจริงๆ

จิตจริงๆ เรารู้จักมันไหมล่ะ ถ้ารู้จักมันทำไมมันทุกข์ยากขนาดนี้ ถ้ารู้จักมันก็ต้องตีแผ่มันได้สิ นี่เห็นไหม เกิดจากธรรม มีพ่อมีแม่นะ เราเกิดจากศีลจากธรรม แล้วเรามีพ่อมีแม่เลี้ยงดูเรามา นี่เห็นไหม มีครูบาอาจารย์คอยเลี้ยงดูเรามา มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำเรามา นี่ก็พ่อแม่ครูบาอาจารย์ของเรา แต่พ่อแม่ครูอาจารย์ของเราก็เป็นคนชี้นำ เป็นคนคอยบอกกล่าวเท่านั้น แต่ถ้าเป็นอริยสัจ เป็นความจริงที่เกิดขึ้นมาจากใจ เห็นไหม ใจมันฝึกหัดขึ้นมา

ภวาสวะ เป็นภพ เป็นชาติ เห็นไหม “กิเลสสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ”

ภวาสวะมันอยู่ที่ไหน ปฏิสนธิจิตมันอยู่ที่ไหน เวลาจิตมันเกิดขึ้นมา เห็นแต่ทารกมันคลอดออกมาจากท้องแม่ แต่เวลามันเกิดขึ้นมา เวลาไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม โอปปาติกะนี่มันคลอดออกมาจากไหน

จิตมันอยู่ไหน จิตมันเกิดอย่างไร จิตมันมีปัญหาอย่างไร มันถึงหมุนไปในวัฏฏะ นี่ไงเพราะมันหมุนไปด้วยอวิชชา ด้วยความตาบอด ด้วยความไม่รู้ของเราไง แต่เวลาจิตสงบเข้ามา พอจิตมันสงบนะ เราทำความสงบของใจขึ้นมา นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตเราสงบขึ้นมาแล้วย้อนกลับมาดูตัวมัน ย้อนกลับมาดูตัวจิตนี่แหละ ย้อนกลับมาถึงสิ่งที่สามารถสัมผัสกับพระพุทธศาสนาได้นี่แหละ

สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม ที่ชี้เข้ามาที่ใจนี่แหละ สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดง มันคือกิริยาของธรรม วิธีการแสดงบอก เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคญาณต่างๆ สัมโภชน์ชงต่างๆ เป็นการอธิบายความ

เราก็ไปเพ่งกันว่าอธิบายความว่าอย่างไร อย่างนี้คือทำวิจัย เห็นไหม ทำสัมโภชน์ชงให้เข้ามาสู่ใจ นี่ไง ย้อนกลับมาที่นี่แหละ แล้วเรามีสติปัญญาของเราขึ้นมา เห็นไหม สติปัญญาเป็นแดนเกิด เป็นพ่อเป็นแม่ให้ไอ้จิตโง่ๆ ไอ้จิตที่ว่าเป็นอนาถา ไอ้จิตที่ว้าเหว่ ไอ้จิตที่ว่าของกูๆ ที่มันอวดรู้ธรรม มันไม่มีหลักมีเกณฑ์สิ่งใดเป็นประโยชน์กับมันเลย มันเฒ่าทารก มันเป็นไอ้เฒ่าตาบอด ไอ้จิตของเรานี่แหละ ไม่ต้องไปว่าคนอื่นเลย คนอื่นก็เรื่องของเขา แต่จิตของเรา เราไม่รู้ของเรา เพราะเราไม่รักษาใจของเราเอง มันถึงปล่อยให้อนาถาไง

เวลาเราไปมองเด็กอนาถา คนโน้นทุกข์จนเข็ญใจ แต่ไอ้ใจอนาถาของเรานี่กลับไม่รู้จัก ย้อนกลับมาดู ตั้งสติขึ้นมานะ กำหนดพุทโธหรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ต้องกลับมาที่นี่ ถ้าไม่กลับมาที่นี่ มันเป็นกิริยา สิ่งที่ทฤษฎี มันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะรู้มากรู้น้อยขนาดไหน ของกูๆ ไม่ใช่สักนิด แต่ถ้ามีสติตั้งขึ้นมา มีความรู้สึกขึ้นมา นั่นล่ะใช่

นี่ล่ะที่เกิดแห่งธรรม ถ้าธรรมมันมีที่เกิด มันมีที่รับรู้ มีความสัมผัส มันมีสัณทิฏฐิโก มันมีความเป็นไป เนื้อหาสาระข้อเท็จจริงมันอยู่ที่นี่ การศึกษามามากน้อยแต่ไหน ก็ศึกษามาเพื่อปฏิบัติ เพื่อเหตุนี้แหละ การศึกษามามากน้อยก็เพื่อมีสติปัญญา เพื่อจะค้นคว้าเข้ามาที่ใจ เขาไม่ได้ศึกษามาเพื่อเป็นของกู ของกู ไอ้เศรษฐีขี้เหนียว มีเงินก็ไม่รู้จักใช้ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พบธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ได้เป็นประโยชน์กับใครเลย ของกู ของกู อยู่นั่นแหละ แล้วคนพูดผิดไปจากกูก็ไม่ได้ด้วยนะ

อาหารแต่ละภูมิภาคต่างๆ ถ้าเขาจะกิน เขาจะใช้ของเขา ด้วยความเป็นจริตนิสัยของเขา ก็เรื่องของเขา เขามีความสุขของเขา ทีนี้ในการประพฤติปฏิบัติ มันมีความแตกต่างหลากหลาย จิตของคนเกิดมา มันมีพันธุกรรมของมัน การกระทำของมัน มันถึงแตกต่างหลากหลายใช่ไหม

ถ้าแตกต่างหลากหลาย ครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้เป็นความจริง สงบก็คือสงบ ถ้าสงบขึ้นมาแล้วมีปัญญาขึ้นมา พอมีปัญญาขึ้นมามันใคร่ครวญของมันนะ “โอ้โฮ ทำไมเอ็งโง่ขนาดนี้ๆ ทำไมเรามืดบอดขนาดนี้ ทำไมครูบาอาจารย์ท่านปล่อยวางของท่านได้ ทำไมท่านทำของท่านได้”

นี่คือความจริงของเราทั้งนั้นนะ ความจริงคือขันติธรรม ความอดทน ความขันติธรรม อดทนจนหัวใจมันใคร่ครวญ อดทนนะ แต่เวลาเราเจอเหตุการณ์ที่เผชิญหน้า เราไม่มีขันติธรรม เราลุกหนี เราไม่สู้ เราไม่พิจารณา เราไม่ใคร่ครวญสิ่งใดเลย แดนเกิดมันอยู่ตรงนั้นแหละ แดนเกิด ตรงที่ได้ต่อสู้กัน

ช้างเผือกมันจะเป็นช้างเผือกจริง เวลามันเข้าสู่สงคราม มันไม่กลัวธนู ไม่กลัวคมหอกคมดาบของข้าศึก มันจะพาเจ้านายของมันฝ่าดงเข้าไปเพื่อจะพ้นจากวิกฤติอันนั้นไป

เวลาเราทำความสงบของใจ เห็นไหม เราจะพาใจของเราให้มันผ่านวิกฤติของมัน ถ้าผ่านวิกฤติของมันนะ “ทำไมเอ็งกลัวนัก ทำไมเอ็งทุกข์ยากนัก ทำไมเอ็งไม่กล้าเผชิญความจริงนัก ทำไมเอ็งไม่ใคร่ครวญของเอ็งเลย” นี่มันพาใจของมัน

ช้างเผือก มันจะพาเราเข้าไปสู่ชัยชนะ นี่ก็เหมือนกัน การประพฤติปฏิบัติของเรา มันจะเกิดความเป็นจริงของมันขึ้นมา ถ้ามันเกิดความเป็นจริงของมันขึ้นมา เห็นไหม ความจริงกับทางวิชาการมันแตกต่างกัน ทางวิชาการมันเป็นทรัพย์สมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรัพย์สมบัติของชาติ

เราเป็นคนไทย เรามีสิทธิไปที่ไหนก็ได้ในประเทศไทยนี้ ถนนหนทางที่ใช้ขึ้นมาโดยอำนาจรัฐนี้ เขาใช้เพื่อเป็นประโยชน์กับสังคม มันเป็นสมบัติของชาติ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ก็เป็นสมบัติของชาวพุทธ แต่ความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้นมาล่ะ ที่จะเป็นสมบัติของเราขึ้นมา ถ้าเรารู้จักจับจ่ายใช้สอย เราจะไม่เป็นเศรษฐีขี้เหนียว ของกูๆ ของกูแล้วไม่รู้อะไรเลย แต่ถ้าเราจับจ่ายใช้สอยขึ้นไป มันจะเกิดประโยชน์ขึ้นมากับร่างกายของเรา เราจับจ่ายใช้สอยเพื่อให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข เราจับจ่ายใช้สอยขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ของสังคม

จิตใจที่มันพิจารณาของมัน มันปล่อยวางของมันขึ้นมา เห็นไหม ปล่อยวางขึ้นมาแล้วมันได้อะไรขึ้นมาล่ะ มันได้ขึ้นมาเพราะไม่ใช่ของกูไง มันเป็นของข้อเท็จจริง มันได้สัมผัสธรรมะ ข้อเท็จจริงที่มันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ เห็นไหม มันรู้จริงขึ้นมา

สิ่งนี้เป็นธรรม เป็นธรรมของส่วนบุคคลนะ สมบัติของชาติเขาก็เอาไว้ใช้จ่ายใช้สอยกับสังคม เพื่อความสะดวกสบายของสังคม แต่ของเราปฏิบัติขึ้นมาโดยสถานะของร่างกาย เราก็เป็นคนของชาติ เราก็มีสิทธิใช้สาธารณูปโภคในประเทศนี้ แต่หัวใจของเรามันได้สัมผัสธรรมตามความเป็นจริง เขาไม่รู้กับเรานะ

สังคมที่เป็นประเทศเป็นชาติขึ้นมา เป็นสมบัติสาธารณะที่เขาใช้กัน ร่างกายนี่ทุกคนเหมือนกัน เกิดมาทุกคนมีสมอง มันอาจจะสมองเล็กสมองใหญ่ มันก็เป็นเรื่องของอำนาจวาสนา แต่มันเป็นสาธารณะ เห็นไหม แต่หัวใจที่สัมผัสๆ นี้มันสาธารณะไหมล่ะ ถ้ามันสาธารณะ ทุกคนต้องรู้สิ เกิดมาเป็นคนเหมือนกัน มีสิทธิเหมือนกัน สิทธิเกิดตายไง สิทธิเกิดและสิทธิตาย สิทธิที่รู้

มันไม่มีแดนเกิด มันไม่มีความจริงขึ้นมา มันจะเอาสิทธิที่ไหนมา เวลาเราอ้างสิทธิ สิทธิของเรามี แล้วสิทธิความเป็นจริงในหัวใจล่ะ สิทธิที่เอ็งรู้จริง เพราะรู้จริงมันมีหนึ่งเดียว หนึ่งเดียวคืออริยสัจ สัจธรรมนี้มีหนึ่งเดียว

สิ่งนี้หนึ่งเดียวเกิดขึ้นมา เห็นไหม ดูสิ สิ่งนี้เราสัมผัสกันได้ ถ้าสัมผัสกันได้ ความจริงคือความจริง ถ้าความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นสมาธิก็เป็นสมาธิ แต่ถ้าไม่เป็นสมาธิ พูดจนปากเปียกปากแฉะมันก็ไม่เป็น ของกูๆ ก็ไม่มีแม้แต่น้อย ถ้าของกูๆ จิตยังมีตายมีเกิดอยู่ ของกูๆ เดี๋ยวจะตกนรกอเวจี เพราะอะไร เพราะความยึดมั่นถือมั่นของมัน

สิ่งใดที่เป็นความเจ็บปวดแสบร้อนในหัวใจ ที่ทำแล้วสิ่งใด แหยงนะ ลองอดนอนผ่อนอาหารโดยนั่งตลอดรุ่ง หรือนั่งเพื่อเผชิญกับความจริง เพื่อจะผ่านวิกฤติของใจ ครั้งสองครั้ง แล้วไม่กล้าเผชิญหน้ากับมันอีกเลย แต่ถ้าเรามีอำนาจวาสนา เห็นไหม ทำแล้วทำเล่าๆ มันจะเป็นไปขนาดไหน มันจะตาย อะไรมันจะตายขอดูก่อน

พอกิเลสมันสู้ มันทนกับความจริงของเราไม่ได้ กิเลสเวลามันเอาสิ่งที่มันเข้าใจ แล้วมันเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์กับมัน มาต่อรองกับเรา เราก็ล้มลุกคลุกคลานแล้ว แต่ถ้ามาต่อรองกับเรา แล้วเราเผชิญหน้ากับมัน สิ่งใดเป็นความจริงก็ขอดู อะไรจะเป็น อะไรจะตาย ขอดูว่าสิ่งใดตายก่อน อะไรที่มันจะเป็นไปไม่ได้ ทำไมครูบาอาจารย์ท่านทำได้

สิ่งนี้ถ้าเราตั้งใจของเรา แล้วทำของเราขึ้นมา ไอ้ที่ว่า ตายก่อนตายหลัง มันจะหลบหน้าไปหมดเลย มันหลบหน้าไปทำไม มันหลบหน้าเพราะใจมันไม่เคยตาย ถ้าใจมันตาย ถ้าจิตมันตายนะ สาธุ ไม่ต้องปฏิบัติ ให้มันตายไปเลย เราจะได้ไม่ต้องทำสิ่งใดเลย แต่มันไม่ตาย มันเวียนตายเวียนเกิด มันหลุดจากนี้ออกไป มันก็ไปเกิดตามอำนาจวาสนา เกิดโดยกรรม

เรามีพ่อแม่เป็นแดนเกิด แต่จิตมันมีกรรมเป็นแดนเกิด ถ้าจิตมันมีกรรมเป็นแดนเกิด กรรมของคนที่อ่อนแอ กรรมของคนที่ไม่เอาไหน เวลาปฏิบัติไป เวลามันจะตายจริงๆ มันจะไปไหนล่ะ เวลาปฏิบัติน่ะไม่สู้ เวลาปฏิบัติขึ้นไปนี่คือจะเอาชนะตนเอง เอาจิตของเราไว้ที่นั้น แต่เราไม่สู้ เวลาออกไปทำลายคนอื่นนี่เก่งมาก เวลาออกจากนั่งสมาธิ ออกจากเดินจงกรม มีความเก่งกาจกล้าหาญ โอ้โฮ.. จะส่งออกน่ะมันเก่ง แต่เวลาจะเอาเข้าสู่ตัวมันเองกลับทำไม่ได้

เวลาความจริงนี่ไม่เกิดมาจากใจ แต่ไอ้ความจอมปลอม ไอ้กิเลสมันพาออกไปหาแต่เวรแต่กรรม มันเก่งนัก แต่เวลาเข้าสู่ตัว เข้าสู่ความจริง มันไม่เอา เห็นไหม แล้วบอกว่ามันจะตาย

อะไรมันจะตาย จิตมันเคยตายหรือ จิตไหน จิตใครตาย ไม่มีจิตตายหรอก แต่มนุษย์ตาย เทวดาอินทร์พรหมตาย ถ้ามันหมดอายุขัยของเขา แต่จิตมันไม่เคยตาย ถ้าจิตไม่เคยตาย มึงหลอกกูทำไม ถ้ามึงหลอกกูนี่ก็ต้องเผชิญหน้ากัน พอเผชิญหน้ากัน ถ้ามีสติมีปัญญา เห็นไหม นี่ไง เราเกิดจากพ่อจากแม่ เราเกิดจากศีลจากธรรม เพราะอะไร เพราะเรามีสัจจะ เรามีความจริงขึ้นมา

พอเรามีสัจจะมีความจริงขึ้นมา เราเกิดจากคุณธรรมของเรา ถ้าเกิดจากคุณธรรมของเรา เรารู้เราเห็นนะ ของที่รู้ที่เห็น กับลูบๆ คลำๆ นี้ใครจะพูดได้ชัดเจนกว่ากัน ไอ้การพูดได้ชัดเจนนี่ คือเพียงแต่การแสดงออก แต่ในความรู้สึกมันไม่ต้องแสดงออก ของจริงคือของจริง ของจริงที่มันจับต้องได้ มันสัมผัสได้ มันเป็นความจริงอยู่แล้ว แล้วไอ้ที่ปลอมๆ มา ที่เราทำๆ มา ที่กิเลสมันหลอกๆ เรามา มันล้มไปหมดเลย

ดูสิ ของปลอมที่มีมากน้อยขนาดไหนก็แล้วแต่ แต่ถ้ามีของจริงขึ้นมาชิ้นเดียว ของปลอมนั้นจะหมดค่าทันทีเลย จิตของเราถ้ามันลงความจริงนะ มีสติมีปัญญา มีสมาธิขึ้นมา มันเป็นจริงขึ้นมานะ “อ๋อ สมาธิเป็นอย่างนี้” แล้วเวลาพามันออกใช้ปัญญาขึ้นมา โอ้โฮ มันทะลุทะลวงไปหมด ทะลุทะลวงจริงๆ

ถ้ามีสมาธิเป็นตัวนำ เวลาพิจารณาสิ่งใด มันทะลุทะลวง มันปล่อยวางหมดเลย ถ้ามีปัญญานะ ปัญญามันมีมาจากฐานของสมาธิ นี่ไง ธรรมมันเกิดที่นี่ เพราะมันเป็นสัมมาทิฏฐิ มันเป็นความเห็นที่ถูกต้อง มันเป็นคุณธรรมตามความเป็นจริงขึ้นมา

สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันเป็นความจริง ความจริงมันมีอยู่ แต่พวกเรามันอ่อนแอกันเอง พวกเราเอาแต่ความสะดวกสบาย พวกเราเอาแต่กิเลสตัณหาทะยานอยากออกหน้า การปฏิบัติก็คำนวณไว้ก่อนเลย ทำเท่านั้นๆ จะเป็นอย่างนั้นๆ คำนวณเอาไว้แล้วให้กิเลสมันไม่ต้องปฏิบัติเลย กิเลสมันเปิดช่องเอาไว้แล้ว

เหมือนน้ำท่วม เวลามันกัดเซาะตลิ่งพัง มันกัดทะลุทะลวงไปหมดเลย นี่ก็เหมือนกัน ตั้งสติไว้หน่อยเดียว พอกิเลสมันขยับหน่อยเดียว มันทะลุทะลวง ทำลายหมดเลย ทำลายหัวใจของเรานะ ไม่ทำลายใครเลย แล้วมันทำลายเรา มันก็เป็นเศรษฐีขี้เหนียว สมบัติเราๆ น้ำมันกำลังจะท่วมตายอยู่ ยังไม่รู้ ก็ว่าสมบัติเราๆๆๆ มึงจะตายอยู่แล้ว

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีความจริงขึ้นมา เราต้องสู้ตามความเป็นจริง ทำนบเราต้องดูแลรักษาของเรา สติปัญญาของเรา เราต้องดูแลรักษาใจของเรา ถ้าเราดูแลรักษาใจของเราขึ้นมาได้ เห็นไหม นี่ไง เก็บเล็กผสมน้อย หลวงตาท่านพูดเรื่องหลวงปู่มั่นตลอดเวลา หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านประพฤติปฏิบัติเป็นตัวอย่าง ท่านเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้ว ท่านยังเก็บเล็กผสมน้อย ท่านไม่เคยไปอยู่ตามสะดวกสบายท่านเลย ท่านจะอยู่เป็นแบบอย่างให้พวกเราพวกที่จะก้าวเดินอยู่นี่ ให้เป็นแบบอย่างว่า เราจะต้องทำอย่างนั้น ทำอย่างนั้น แต่เพราะอะไร เพราะท่านทำมาแล้ว ท่านรู้จริงเห็นจริงของท่าน แล้วท่านมาเป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ของเรา ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ในสายประพฤติปฏิบัติของเรา แล้วเราปฏิบัติขึ้นมา เราจะขายครูบาอาจารย์ไหม ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำมาเพื่อประโยชน์ของท่าน หัวใจท่านได้พิสูจน์แล้วว่าความจริงมันมี ทำได้ความเป็นจริง ถ้าทำไม่ได้ตามความเป็นจริง ท่านเอาอะไรพูดออกมา ท่านสอนเราด้วยวิธีการอย่างไร ถ้าคนไม่เคยทำงาน คนทำงานไม่เป็น เอาอะไรมาสอน สอนวันนี้อย่างหนึ่ง สอนพรุ่งนี้ก็อีกอย่างหนึ่ง เพราะว่าความจำ ความคิดต่างๆ มันไม่มีหลักมีเกณฑ์

แต่ถ้าคนปฏิบัติขึ้นมา มันมีหลักมีเกณฑ์ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลมันเป็นอย่างไร คำว่าศีลมันเกิดมาจากไหน ศีลมันเกิดมาเจตนา ศีลมันเกิดจากจิต ถ้าจิตมันมีศีลของมัน เห็นไหม มีศีลของมัน ความผิดพลาดจากข้างนอกมันเป็นกิริยาจากข้างนอก ผิดแล้วเราก็ปลงอาบัติ ผิดสิ่งใดเราก็แก้ไข มันแก้ไขได้

ถ้ามันแก้ไขขึ้นมาแล้ว เพื่อความมั่นคงของมัน ถ้าจิตมันมั่นคงขึ้นมาแล้ว มันจะมีขันติ มันจะมีความอดทนเข้ามา ดูสิ ดูมีด ดูอาวุธที่มันเป็นประโยชน์ เห็นไหม เขาใช้เพื่อประโยชน์เขาได้หมดเลย จะทำครัว จะสร้างบ้านสร้างเรือน เขาใช้ได้ทั้งนั้น

จิตถ้ามันมีศีลของมัน มีคุณธรรมของมัน มันจะขยับตัวอะไร มันก็ทำให้เป็นประโยชน์กับจิตดวงนี้ได้หมดเลย แต่จิตที่มันอ่อนแอ ดูสิ เขามีมีดเอาไว้เพื่อประโยชน์ มีอาวุธต่างๆ ไว้เพื่อการทำงานของเขา แต่ไอ้นี่มีไว้ให้สนิมมันจับ มีมันก็เพราะจิตมันมีไง นี่ไง ศีลมันมาจากไหนล่ะ จิตมันมีใช่ไหม ความรู้สึกเรามีใช่ไหม แล้วความรู้สึกเรา ให้มันเขรอะด้วยสนิมเลย ให้มันเขรอะไว้ ซ่อนมันไว้ ให้มันทำลายตัวมันเอง ให้มันกัดกร่อนตัวมันเอง โดยไม่ได้ทำประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย

ของมีอยู่แต่ใช้ไม่เป็น ของมีอยู่ไม่เคยใช้ แล้วคอยไปวัดคนอื่น ไปวัดกันว่าอย่างนั้นก็ไม่ได้ อย่างนี้ก็ไม่ได้ แล้วไอ้ที่มันได้ มันอยู่ไหน ไอ้ที่มันได้ ที่มันเป็นจริงมันอยู่ไหน สิ่งอื่นไม่ได้แล้วที่ได้มันอยู่ไหน ถ้ามันไม่ได้ขึ้นมา ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นไปแล้ว ทำไมครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม ท่านสั่งสอนเราๆ นี่ไง พ่อแม่ครูอาจารย์เป็นแดนเกิด

ดูสิ มันเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ท่านทำเป็นตัวอย่าง ท่านปฏิบัติมาให้เราดู แล้วเราก็เห็นร่องเห็นรอย เราก็เห็นนะ มีตัวมีตน พระธาตุก็มีให้เรามั่นใจ ทุกอย่างมีทั้งนั้น แต่ทำไมเราอ่อนแอขนาดนี้ ถ้ามันอ่อนแอขนาดนี้ มันต้องโทษเรานะ ว่าเราเป็นคนไม่เอาไหน เราเป็นคนใช้ไม่ได้

ถ้าเราจะใช้ได้ขึ้นมา มันใช้ได้ที่ไหน ใช้ได้ด้วยมนุษย์ใช่ไหม มนุษย์เวลาตายขึ้นมา ไม่มีใครเอาซากศพ มีแต่เหม็นคาว เหม็นมาก แต่เวลาวัวควายต่างๆ ปลาสักตัวหนึ่งตายยังเป็นประโยชน์ เป็นอาหารได้ นี่ไง เราจะเอาเนื้อหนังมังสานี้มาอวดกันใช่ไหม เราจะเอาเนื้อหนังมังสามาอวดว่าสิ่งนี้มีคุณค่าหรือ แล้วคุณค่าของใจล่ะ คุณค่าของใจ คุณค่าของพุทธศาสนา

ศาสนานี้มันอยู่ที่ใจ ศาสนาอยู่ที่คุณธรรม คุณธรรมนี้สัมผัสด้วยหัวใจ ไม่มีสิ่งใดสัมผัสธรรมะได้ ไม่มี แต่ถ้ามันมีหัวใจขึ้นมา หัวใจสัมผัสได้ แล้วหัวใจเราล่ะ ทำไมหัวใจเรามันมืดบอดขนาดนี้ ทำไมหัวใจเรามันทุกข์ร้อนได้ขนาดนี้ ถ้ามันทุกข์ร้อนขนาดนี้เพราะอะไร เพราะกิเลสตัณหาทะยานอยากเข้าครอบงำมันอยู่ แล้วกิเลสตัณหาทะยานอยากมันมาจากไหน มันมาจากการกระทำที่ทำมา

ดูมรรคสิ อยากในการทำคุณงามความดี ความอยากในการประพฤติปฏิบัติ ความอยากในสังคมมนุษย์ มนุษย์นะโดยสัญชาตญาณ ทุกคนปรารถนาดี ปรารถนาดีเฉยๆ พอปรารถนาดีขึ้นมา กิเลสมันก็ขี่หัวแล้ว ปรารถนาดี แต่ต้องทำสบายๆ ปรารถนาดี จะต้องไม่ล้มลุกคลุกคลาน ปรารถนาดี นี่มันนั่งเทียน ด้วยความอยาก ถ้าอยากอย่างนี้ มันอยากโดยกิเลส

แต่ถ้าเราอยากโดยธรรมล่ะ อยากโดยธรรม เรามีความอยากใช่ไหม เราต้องตั้งสติของเรา แล้วก็มองครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม เราเกิดมามีพ่อมีแม่ เราจะประพฤติปฏิบัติ เราก็มีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำของท่านมา ครูบาอาจารย์ท่านล้มลุกคลุกคลานมาก่อน ท่านก็เป็นคน เราก็เป็นคน ทำไมท่านทนได้ ทำไมท่านทำของท่านได้ เจ็ดวัน เจ็ดเดือน เจ็ดปี ต้องถึงที่สุดแห่งทุกข์ นี่ไง แค่นี้เราทำไม่ได้หรือ แล้วเวลาเราเกิดเราตายแต่ละภพแต่ละชาติมันทุกข์ยากกว่านี้เยอะนัก

ดูสังคมสิ สังคมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตั้งแต่เราเป็นเด็กเป็นเล็กขึ้นมา เห็นไหม ดูสังคมสมัยเรายังเด็กเล็กน้อยขึ้นมา สภาวะแวดล้อมนี่จะสะอาดบริสุทธิ์มาก ในปัจจุบันนี้ เศรษฐกิจเจริญ ทุกอย่างสะดวกสบายหมด คุณภาพชีวิตดีมาก มีแต่แก๊ซพิษ มีแต่สิ่งแวดล้อมที่บีบคั้นมา แล้วข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แล้วเราเห็นภัยไหม ถ้าเรามองอย่างนี้เราเห็นภัยขึ้นมา เราจะเร่งตัวเราขึ้นมา เราจะมีจุดยืนของเราขึ้นมา เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะมีความเข้มแข็ง

ถ้ามีความเข้มแข็งขึ้นมานะ มันเข้มแข็งเพราะอะไร เข้มแข็งเพราะว่ามีสติ เข้มแข็งเพราะมีเราระลึกรู้ โลกเขาจะเป็นอย่างไรให้เป็นไป โลกเขาเป็นอย่างนั้น เราเกิดมากับโลก เราจะขวางโลกไม่ได้ ดูสิ โลก เห็นไหม ผลของวัฏฏะ ใครขวางมันไม่ได้หรอก

ดูสิ เมื่อก่อนคนมีอยู่สองพันล้าน เดี๋ยวนี้เจ็ดแปดพันล้าน จะมีหมื่นล้านไปข้างหน้า แล้วมันมาจากไหน ดูสิ ไอ้ปลวก ไอ้มด มันเกิดตลอดเวลา ไอ้ปลวกมดมนุษย์นี่แหละ ปลวกมดมนุษย์มันจะเกิดมาตลอดเวลา มันจะมาใช้มาจ่ายมาสอยอยู่ตลอดเวลา แล้วเราจะไปเกิดตรงนั้นไหม ถ้าเราตายในชาตินี้ แล้วชาตินั้นเราจะไปเกิดร่วมกับไอ้หมื่นล้านสองหมื่นล้านนั้นอีกไหม

แล้วปัจจุบันนี้ ทำไมเราไม่แก้ไขใจเรา ถ้าเราแก้ไขใจเรา ไอ้จิตที่เกิดนี่ เกิดเป็นมนุษย์นะมันก็เกิดอย่างหนึ่ง แต่ถ้าเกิดในธรรม จิตเวลามันมีกำลัง มีอำนาจวาสนาแล้วออกค้นคว้า ออกหานะ ออกค้นคว้า

ในสมาธินี้คิดได้ รำพึงให้เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ถ้าจิตมันสงบแล้ว มันไม่มีงานทำ เห็นไหม แล้วถ้าจิตไม่สงบ เราก็จะใช้ปัญญาได้ การใช้ปัญญาของเรา

ถ้ามันมีสมาธิเป็นพื้นฐานขึ้นมา มันใช้ปัญญาไปแล้ว มันจะเห็นนะ พอเห็นด้วยปัญญา มันเกิดธรรมสังเวช ถ้ามีสมาธิแล้วปัญญามันใคร่ครวญในการเกิดและการตายของเรา มันสะเทือนหัวใจเรา นี่ไงธรรมสังเวช ถ้ามันสะเทือนหัวใจเรานะ พอมันสะเทือนนะหัวใจเรา มันจะว่า แล้วจะไปทางไหน ถ้าไม่มีทางไหน มันก็ต้องกลับมาทำความสงบของใจ มันสะเทือนมากน้อยขนาดไหน ยิ่งจิตสงบขนาดไหน มันพิจารณาบ่อยครั้งเข้า

ถ้าจิตมันสงบพอสมควร แล้วใช้ปัญญาใคร่ครวญไป เวลามันพิจารณาไปแล้วมันปล่อย ก็ปล่อยเข้ามาสู่จิต จิตจะทำสมาธิง่ายขึ้น แต่ถ้ามันมีกิเลสนะ พอจิตมันปล่อยสิ่งใดขึ้นมา มันจะอยากให้ปล่อยอย่างนี้อีก ความอยากให้ปล่อยอย่างนี้คือตัณหาซ้อนตัณหา อยากในผลให้มันปล่อย แต่สิ่งที่มันปล่อย ปล่อยเพราะใช้ปัญญา ปล่อยเพราะมีสมาธิ เพราะจิตมันตั้งมั่น จิตมันไม่วอกแวกวอแวไปกับโลก จิตมันไม่วอกแวก ไม่ใช่เศรษฐีขี้เหนียว มันจะยึดอารมณ์ไว้ทุกอย่าง เศรษฐีที่มีเงินก็ใช้จ่ายไปตามปกติ

พอจิตมันมีกำลังขึ้นมา มันพิจารณาของมัน มันก็ปล่อย พอปล่อย เราก็อยากให้เป็นอย่างนั้น นี่คือตัณหา ขี้เหนียวมันจะไปยึดอีก พอยึดอีก การพิจารณามันจะไม่สม ไม่เป็นข้อเท็จจริง จนกว่ามันจะรู้เอง รู้เองเพราะเหตุใด รู้เองเพราะมันพยายามจะใช้ปัญญา เพราะมันเคยได้เสพ มันเคยได้สัมผัสการปล่อยวางนั้น พอจิตมันสัมผัสนั้นมันชอบ มันพอใจกับรสชาตินั้น มันจะคาดหมายรสชาตินั้น

มันคาดหมาย นี่แหละตัณหา ความทะยานอยากมันคาดหมาย แต่ข้อเท็จจริงมันไม่เป็นตามความเป็นจริง แล้วมันก็ล้มลุกคลุกคลาน จนกว่ามันจะมีสติสัมปชัญญะ จะรู้ว่า อ๋อ.. นี่โดนกิเลสหลอก โดนกิเลสชักนำไปอีกแล้ว

พอมีสติขึ้นมา มันก็เริ่มกลับมา กลับมาพุทโธ ไม่ใช้ความคิด กลับมาพุทโธหรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมา ให้จิตมีสมาธิก่อน

พอมีสมาธิก่อน แล้วมันออกไปพิจารณา มันก็ปล่อยไปอีก แล้วมันก็ทะลุทะลวงไปอีก ถ้าจิตมันมีสัมมาสมาธิโดยใช้ปัญญามันจะทะลุทะลวง ทะลุทะลวงสิ่งที่มันยึดมั่นถือมั่น ทะลุลวงไอ้ตัณหาทะยานอยาก ไอ้ตัวขี้เหนียว ไอ้ตัวยึดมั่น ไอ้ของกูๆ มันจะปล่อยวางตามข้อเท็จจริง มันไม่ได้เป็นของใครหรอก มันจริงตามความเป็นจริง

อารมณ์ความรู้สึกก็เป็นความจริงอันหนึ่ง อารมณ์ความรู้สึกความคิดก็เป็นความจริงอันหนึ่ง จิตมันก็เป็นความจริงอันหนึ่ง เวทนาเป็นความจริงอันหนึ่ง วัตถุมันเป็นความจริงอันหนึ่ง ทุกอย่างเป็นความจริงหมดเลย แต่เพราะมันไม่มีสติ ไม่มีปัญญา มันเลยคลุกเคล้ากัน เลยกลายเป็นขี้หมูราขี้หมาแห้ง กลายเป็นความฟุ้งซ่าน กลายเป็นการยึดมั่นถือมั่น กลายเป็นการตีความธรรมะ มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเป็นความจริงกันเลย เพราะขาดพ่อขาดแม่ เพราะขาดศีล ขาดธรรม ขาดสมาธิ ขาดสติ ขาดความเป็นไปความเป็นจริง เป็นคนว้าเหว่ เป็นเด็กอนาถา จิตใจเร่ร่อน แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เราตั้งใจของเรา

เรากว่าจะเติบโตขึ้นมานะ พ่อแม่เลี้ยงดูมาขนาดไหน พ่อแม่เลี้ยงดูมา กว่าเราจะโตขึ้นมาเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมา พ่อแม่ต้องใช้ขนมนมเนยไปมากน้อยแค่ไหน

เราตั้งสติของเรา แล้วเราพยายามดูแล สติคือพ่อแม่มันจะเลี้ยงใจ ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมา มันจะเลี้ยงใจ แล้วให้ใจมันเข้มแข็งขึ้นมา ใจมันเติบโตขึ้นมา เราต้องเลี้ยงด้วยข้อเท็จจริงสิ

เราไม่เลี้ยงโดยข้อเท็จจริง เราศึกษามา แล้วก็บอกให้เป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างนี้ ให้เป็นอย่างนั้น มันเป็นการคาดหมายหมด มันไม่เป็นความจริง เห็นไหม เพราะเราอยากได้อยากดีจนเกินกว่าเหตุ แต่ถ้าเราไม่อยากได้ดีเกินกว่าเหตุ เราตั้งสติของเรา เราทำตามอำนาจวาสนาของเรา เจ็ดปี เป็นอย่างไรก็เป็นไป รักษาของเราไป เจ็ดปีๆ เลย ถ้ามึงจะเอาดีวันนี้ เอาดีช่วงนี้ เอาดีในเดือนสองเดือนนี้ บอกมาสิ เจ็ดปีมึงยังไม่ได้ แล้วมันก็ทำไปตามความเป็นจริง ทำเป็นข้อเท็จจริงขึ้นมา เห็นไหม มันไม่เอาตัณหามาซ้อนตัณหา ไม่เอาตัวเร้ามาคิดในหัวใจให้มันเป็นไปตามนั้น แล้วเราทำของเราไป

มันเป็นจริงๆ นะ เพราะอะไร เพราะมันไม่คาดผล ไอ้ที่มันเป็นอยู่นี่มันไม่ได้เพราะมันคาดผลไง จะเป็นอย่างนั้นๆ นี่ไง ปริยัติเรียนมามันก็มีคุณค่ามาก

ปริยัติ ปฏิบัติ ปริเวธ ปริยัติ การศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ของเสียหาย เป็นของดี การศึกษานี้เป็นของดีมาก แต่ศึกษาแล้ว กิเลสมันเอามาทำลายตัวเอง กิเลสมันไปยึด มันเกิดการสร้างภาพ อันนั้นน่ะเสียหาย ความเสียหาย เห็นไหม

ฉะนั้นเวลาเราเรียนปริยัติขึ้นมาแล้ว ปริยัติแล้วปฏิบัติ ปริยัติ ก่อนที่จะปฏิบัติ วางปริยัติไว้ วางทฤษฏี วางสถิติของใจที่มันจะเพิ่มค่าขึ้นมา แต่ถ้าเรากำหนดพุทโธ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ใคร่ครวญ ตรึกโดยธรรมนี่แหละ เวลามันปล่อยมันวางขึ้นมา มันไม่ใช่สถิติ มันเป็นความจริง

สถิติ เห็นไหม ภาวนาสองครั้ง สามครั้ง สี่ครั้ง แปดครั้ง เก้าครั้ง มันเป็นสถิติ แต่ไม่เป็นสมาธิ แต่ถ้ามันเป็นสงบขึ้นมา ไม่ใช่สถิติ เป็นข้อเท็จจริง มันสงบ โอ้.. ว่าง โอ้.. มีความสุข โอ้.. มีสติปัญญา แล้วมันปล่อยวางอย่างนี้ มันก็เป็นช้างเผือก เห็นไหม

ช้างเผือกมีกำลังนะ นักกีฬาที่เขามีความชำนาญของเขา เขาเล่นกีฬาของเขาได้โดยเป็นธรรมชาติของเขาเลย เขาทำได้ง่ายดายของเขา “จิต” เห็นไหม พอพุทโธๆ บ่อย พอมันเป็นสมาธิ เห็นไหม มันง่ายดายของมัน มันเป็นข้อเท็จจริงของมัน อื้ม.. สมาธิเป็นอย่างนี้ เหมือนนักกีฬาอาชีพที่เขามีความชำนาญของเขา เขาทำอะไรได้คล่องตัวไปหมดเลย

จิตของเรา เราฝึกหัดของเรา เราทำของเรานะ มันจะคล่องตัวของมันไหม เห็นไหม มันทำไมถึงเป็นอย่างนี้ แล้วถ้ามันไม่เป็นอย่างนี้เพราะอะไรล่ะ มันไม่เป็นอย่างนี้เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันไม่เป็นอย่างนี้เพราะเราสุกเอาเผากิน มันไม่เป็นอย่างนี้เพราะกิเลส ตัวมักง่าย มันชักนำเราไปก่อน แต่พอเราทำพุทโธ เราตั้งสติของเรา มันทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ มันเป็นอย่างนี้เพราะว่าเรามีพ่อมีแม่ เรามีคุณธรรม เรามีความยับยั้งชั่งใจ เราไม่สุกเอาเผากิน เราตั้งสติของเรา เรามีคำบริกรรมของเรา เรามีการรักษาของเรา เรามีศีล เรามีสมาธิ เรามีปัญญา

จิตนี้กลั่นออกมาจากศีล สมาธิ ปัญญา เห็นไหม เพราะจิตมันมีศีล สมาธิ ปัญญา มันก็มีพ่อมีแม่ มันมีสมาธิว่า เพราะจิตมันกลั่นออกมา เพราะตัวศีล ตัวสมาธิ ตัวปัญญา มันไม่ใช่มรรคผล มันไม่ใช่

ศีล สมาธิ ปัญญาไม่ใช่มรรค ไม่ใช่ผล แต่ศีลสมาธิปัญญาเป็นตัวกลั่นกรอง

ตัวศีล สมาธิ ปัญญา เป็นตัวมรรค มรรคญาณตัวกลั่นกรองให้จิต มันเป็นพ่อเป็นแม่ มันจะสร้างจิตของเรา มันจะทำคุณธรรมของเราให้เกิดขึ้นมากับเรา

ที่เรามาทำกันอยู่นี่ เราหาพ่อหาแม่ เราหาสติ เราหาสมาธิ เราหาปัญญา เพื่อให้หัวใจเรามันได้ลิ้มรส ได้รสของธรรม มันได้ฟูมฟัก

ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นพ่อเป็นแม่ มันจะฟูมฟักหัวใจของเรา ให้หัวใจเรามีความร่มเย็นเป็นสุข เอวัง